บทความที่ผ่านมา เราได้พูดถึงเรื่องโรคต้อลมกันไปแล้ว สำหรับบทความนี้ เราจะมาให้ความรู้ต่อในเรื่องของโรคต้อเนื้อกันบ้างนะคะ
ลักษณะของโรคต้อเนื้อ เราสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งต่างจากโรคต้อลม ที่จะสังเกตเห็นได้ยาก หรืออาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ ที่เรียกว่า slit-lampเข้ามาช่วยตรวจหาโรค
การดำเนินโรคจะมีที่มาเหมือนกันกับต้อลม นั่นคือ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อปกติ จนกลายมาเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ โรคต้อเนื้อนั้น จะเกิดเป็นความเสื่อมที่เพิ่มมากขึ้น กินพื้นที่ของดวงตาเป็นบริเวณกว้าง
เกิดการพัฒนาของโรคต่อเนื่องมาจากต้อลมที่คนไข้เป็นอยู่แล้ว ซึ่งการหนาตัวขึ้นของเยื่อบุตาที่เสื่อมสภาพนี้ เมื่อมีการรุกลามเข้าสู่กระจกตาแล้วนั้น จะสามารถดึงรั้งกระจกตา จนทำให้เกิดสายตาเอียงได้นั่นเองค่ะ
![](https://via.placeholder.com/500x500.png?text=media+not+available&w=500&h=500)
![](https://via.placeholder.com/500x500.png?text=media+not+available&w=500&h=500)
ลักษณะ:
-เป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยม ยื่นเข้ามาในกระจก
(ส่วนยอดจะชี้เข้าทางกระจกตา)
-มีสีขาวขุ่น เหลือง หรืออาจมีสีแดงก็ได้ แตกต่างกันไปในแต่ละคน
-ในบริเวณแผ่นเนื้อ จะสังเกตเห็นได้ว่ามีเส้นเลือดยื่นตามเข้ามาด้วย โดยส่วนใหญ่มักพบทางด้านหัวตามากกว่าหางตา และสามารถเป็นได้กับตาข้างเดียว หรือเป็นพร้อมกันทั้งสองตาก็ได้
อาการ:
-คัน เคือง แสบตา ตาแดง
-อาจพบการอักเสบของต้อเนื้อได้
-ลักษณะอาการคนไข้เหมือนกับโรคต้อลม เพียงแต่ในโรคต้อเนื้อ อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการมองเห็นได้
จากการที่เยื่อบุตาที่เสื่อมสภาพ ยื่นไปบดบังความสว่างของแสงที่จะเข้ามายังรูม่านตา รวมถึงมีการไปดึงรั้งกระจกตาไว้ด้วย ดังนั้นโรคต้อเนื้อจึงมีผลกระทบต่อการมองเห็นได้ ซึ่งต่างจากต้อลม ที่รอยโรค จะอยู่แค่ในส่วนของตาขาวเท่านั้น
สาเหตุ:
-เกิดจากการที่ดวงตาสัมผัสกับแสงแดด ฝุ่น ลม ควัน สารเคมี และมลพิษทางอากาศเป็นประจำ
-คนไข้ที่มีภาวะตาแห้ง และเป็นโรคต้อลมมาก่อนแล้ว
จะทำให้ต้อเนื้อพัฒนาวิ่งเข้ากระจกตาได้ไวขึ้นด้วย
การรักษา:
1.รับการตรวจ วินิจฉัยเบื้องต้นกับจักษุแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสายตา(นักทัศมาตร)
2.ทางด้านจักษุแพทย์ อาจมีการให้ยาหยอดตา
สเตียรอยด์(steroid)มา แต่ให้ใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อลดการอักเสบของต้อเนื้อเท่านั้น
3.เช่นเดียวกับโรคต้อลม นั่นคือ ไม่มียาตัวใดรักษาโรคต้อเนื้อให้หายขาดได้ ที่ทำได้ก็คือ การประคองอาการของโรค ไม่ให้รุกลามไปมากกว่านี้ นั่นคือ สวมใส่แว่นที่ป้องกันรังสีUVA UVB เมื่อจะต้องออกไปข้างนอก ไม่ขยี้ตา และควรทำร่วมกับการหยอดนำ้ตาเทียม(ชนิดรายวัน)เพื่อให้ความชุ่มชื้นกับดวงตาตลอดเวลา
4.สำหรับการผ่าตัด ส่วนใหญ่ จักษุแพทย์ จะรอจนกระทั่ง ต้อเนื้อรุกลามเข้าไปในกระจกตามากในระดับนึง อาจจะประมาณ3-4มิลลิเมตร หรือ ผ่าก่อนที่ต้อเนื้อจะกินบริเวณถึงขอบรูม่านตา ในขณะที่รูม่านตามีการขยายเต็มที่(ปิดไฟ เพื่อดูการขยายของรูม่านตา) เพราะถึงรีบลอกออก ประมาณมากกว่า30%ของคนไข้ มีโอกาสที่ต้อเนื้อจะกลับมาเป็นซ้ำ และไวกว่าเดิมมากขึ้นได้
![](https://via.placeholder.com/500x500.png?text=media+not+available&w=500&h=500)
![](https://via.placeholder.com/500x500.png?text=media+not+available&w=500&h=500)
จบไปแล้ว กับสองบทความ ในเรื่องโรคต้อลมและโรคต้อเนื้อ ซึ่งเราก็หวังว่าจะเป็นความรู้สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ และหากท่านใดมีความสนใจที่จะเข้ามารับคำปรึกษา และตรวจสุขภาพตากับนักทัศนมาตร ก็ขอเชิญชวนพบกันได้ที่ ร้านแว่นตาศรไทย ทุกสาขาเลยค่ะ